EP 27 โรคฮิต RSV ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

10 ข้อที่พ่อแม่ทุกคนควรรู้เกี่ยวกับ RSV (Respiratory Syncytial Virus)

Respiratory syncytial virus (RSV) ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ปอดและทางเดินหายใจ

ในผู้ใหญ่และเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรง RSV อาจทำให้เกิดอาการของโรคหวัดเช่นคัดจมูกน้ำมูกไหลเจ็บคอปวดศีรษะเล็กน้อยไอมีไข้และรู้สึกไม่สบาย แต่ในทารกที่คลอดก่อนกำหนดและเด็กที่เป็นโรคเกี่ยวกับปอด หัวใจ หรือระบบภูมิคุ้มกัน การติดเชื้อ RSV อาจเป็นอันตรายมาก

1. RSV เป็นสาเหตุสำคัญของโรคทางเดินหายใจในเด็กเล็ก

สำหรับทารกและเด็กเล็กส่วนใหญ่ การติดเชื้อ RSV ไม่ก่อให้เกิดอะไรมากไปกว่าหวัด แต่สำหรับทารกที่คลอดก่อนกำหนดและทารกที่มีโรคเรื้อรัง หรือมีระบบภูมิคุ้มกันต่ำ การติดเชื้อ RSV อาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงได้ เด็กที่มีความเสี่ยงสูงเหล่านี้ อาจเป็นโรคหลอดลมฝอยอักเสบ (การอักเสบของทางเดินหายใจเล็กๆ ในปอด) หรือเป็นปอดบวม ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

2. RSV ติดต่อได้ง่ายมาก

RSV สามารถแพร่กระจายผ่านละอองที่มีเชื้อไวรัสเมื่อมีคนไอหรือจาม มันยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายชั่วโมงบนพื้นผิว (เช่น เคาน์เตอร์ ลูกบิดประตู หรือของเล่น) และบนมือ มันจึงสามารถแพร่กระจายได้ง่ายเมื่อคนไปสัมผัสกับพื้นผิวที่มีเชื้อปนเปื้อน

3. การติดเชื้อ RSV มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว

โดยทั่วไปการติดเชื้อมักจะกินเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่บางกรณีอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ RSV สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในโรงเรียนและศูนย์เลี้ยงเด็ก ทารกมักจะได้รับเชื้อเมื่อเด็กโตนำไวรัสจากโรงเรียนกลับบ้าน เด็กเกือบทั้งหมดจะติดเชื้อ RSV อย่างน้อย 1 ครั้งเมื่ออายุได้ 2 ขวบ

4. ผู้ปกครองและผู้ใหญ่คนอื่น ๆ สามารถทำให้เด็กเล็กติดเชื้อ RSV ได้ง่าย

เนื่องจาก RSV มีอาการคล้ายกับโรคไข้หวัด (น้ำมูกไหล เจ็บคอ ปวดศีรษะเล็กน้อย ไอ และบางครั้งมีไข้) พ่อแม่และผู้ใหญ่คนอื่นๆ อาจไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อไวรัส และสามารถส่งต่อเชื้อได้ พวกเขาจึงแพร่เชื้อไปยังเด็กที่มีความเสี่ยงสูงได้ง่าย ผ่านการสัมผัสใกล้ชิด

5. เราสามารถป้องกันการติดเชื้อ RSV ได้

คำแนะนำต่อไปนี้สามารถช่วยป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสไปยังลูกของคุณ:

  • ขอให้ทุกคนล้างมือก่อนสัมผัสลูกของคุณ
  • หลีกเลี่ยงการจูบใบหน้าของลูก ถ้าคุณมีอาการหวัด
  • ให้ลูกของคุณหลีกเลี่ยงจากการอยู่ในที่ที่มีผู้คนแออัด
  • ล้างทำความสะอาดของเล่นและ สิ่งแวดล้อมของทารกเป็นประจำ
  • จำกัดเวลาที่ทารกและเด็กเล็กที่มีความเสี่ยงสูงต้องอยู่ในสถานดูแลเด็ก โดยเฉพาะช่วงที่ RSV มีการแพร่ระบาด
  • ถ้าเป็นไปได้ ให้ลูกของคุณอยู่ห่างจากทุกคนที่มีอาการหวัด รวมทั้งพี่ๆ น้องๆ
  • หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีควันไฟหรือควันบุหรี่

6. เพื่อป้องกันโรคทางเดินหายใจที่เกี่ยวข้องกับ RSV อย่างรุนแรง ทารกที่มีความเสี่ยงอาจจะได้รับการฉีดยาที่มีแอนติบอดี RSV ทุกเดือน

เนื่องจากการป้องกันที่ได้จากการฉีดยามีอายุสั้น จะต้องฉีดยาเดือนละครั้งในช่วงที่มีการระบาด จนกว่าเด็กจะไม่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ RSV ที่รุนแรงอีกต่อไป พ่อแม่ควรปรึกษาแพทย์ว่าลูกของคุณมีความเสี่ยงสูงและจำเป็นต้องได้รับการฉีดยาหรือไม่

7. ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะเนื่องจาก RSV เป็นไวรัส

การติดเชื้อ RSV ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรงและไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาเฉพาะจากแพทย์ จะไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะเนื่องจาก RSV เป็นไวรัส และยาปฏิชีวนะใช้ได้ผลเฉพาะกับแบคทีเรียเท่านั้น บางครั้งอาจให้ยาเพื่อช่วยเปิดทางเดินหายใจและทำให้การหายใจสะดวกขึ้น 

อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อ RSV ในทารกอาจรุนแรงกว่า และอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อให้สามารถเฝ้าดูทารกได้อย่างใกล้ชิด ทารกอาจต้องการของเหลวมากขึ้น และอาจได้รับการรักษาสำหรับปัญหาการหายใจ

8. ในเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องตรวจยืนยันเชื้อ RSV ในที่เด็กมีอาการคล้ายโรคไข้หวัด

เด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงส่วนใหญ่จะสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อ RSV ได้ แต่ถ้าเด็กมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ แพทย์อาจต้องการวินิจฉัยเฉพาะ ในกรณีนั้นจะมีการตรวจหาเชื้อ RSV ในสารคัดหลั่งจากจมูกที่เก็บโดยใช้สำลีก้านหรือการดูดผ่านหลอดฉีดยา

9. สำหรับทารกและเด็กเล็กส่วนใหญ่ การดูแลรักษาที่บ้านก็เพียงพอแล้ว

การรักษาที่บ้านประกอบด้วย:

  • การขจัดของเหลวในจมูกที่เหนียวออกด้วยหลอดฉีดยาโดยใช้น้ำเกลือ
  • ใช้เครื่องพ่นไอน้ำเย็นเพื่อให้อากาศชื้นและหายใจได้สะดวกขึ้น
  • ให้ของเหลวในปริมาณเล็กน้อยบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน
  • ให้ยาลดไข้ที่ไม่ใช่แอสไพริน เช่น พาราเซตามอล

สำหรับทารกที่มีอาการรุนแรง ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การรักษาอาจรวมถึง:

  • การให้ออกซิเจน
  • การให้น้ำเกลือ
  • การให้ยาเพื่อเปิดทางเดินหายใจ

10. ข่าวดี!!! การติดเชื้อ RSV ทั้งหมด สามารถป้องกันได้

มีหลายอย่างที่คุณทำได้เพื่อป้องกันลูกของคุณจาก RSV อย่างแรกให้ทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือนอยู่ห่างจากคนที่เป็นหวัด และทำความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิวต่างๆ ล้างมือของคุณและมือของทารกบ่อยๆ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สามารถช่วยป้องกัน RSV และโรคอื่นๆ ได้ นมแม่มีแอนติบอดีและภูมิคุ้มกันอื่นๆ ที่ช่วยป้องกันและต่อสู้กับความเจ็บป่วย

พาลูกไปวัคซีนที่แนะนำให้ครบ การฉีดวัคซีนไม่ได้ป้องกันไม่ให้ลูกของคุณเป็นหวัด แต่จะช่วยปกป้องลูกจากภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่อาจเกิดจากโรคหวัดได้ และสุดท้ายหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ในห้องหรือในรถที่มีลูกอยู่ด้วย การได้รับควันบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย RSV

Source: https://www.thechildren.com/health-info/conditions-and-illnesses/10-things-every-parent-should-know-about-rsv-respiratory-1

 

Visitors: 97,018